ความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้วอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

Organizational Commitment of Teachers at Wat Khao Mai Kaew Community

School,Bang Lamung District, Chonburi Province

ความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้วอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

Organizational Commitment of Teachers at Wat Khao Mai Kaew Community

School,Bang Lamung District, Chonburi Province

อุดร  ภักสุวรรณ

Udon haksuwan

อาจารย์ที่ปรึกษา ดร.จิตรกร ลากุล

คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกริก

Graduate students of Master of Arts Faculty of Liberal Arts, Krirk University

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี และ 2) เปรียบเทียบระดับความผูกพันต่อองค์กรของครู จำแนกตามลักษณะส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพสมรส และระดับการศึกษา โดยใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือครูจำนวน 52 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา และมีค่าความเชื่อมั่น (Reliability) เท่ากับ .78 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ t-test และ ANOVA

ผลการวิจัยพบว่า ระดับความผูกพันต่อองค์กรของครูโดยรวมอยู่ในระดับสูง โดยปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน รองลงมาคือ ความมั่นคงและความมีชื่อเสียงของโรงเรียน และ ความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว ในขณะที่ปัจจัยด้าน ค่าตอบแทนและสวัสดิการ มีระดับต่ำที่สุด นอกจากนี้ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบพบว่า ครูที่มีลักษณะส่วนบุคคลแตกต่างกันบางกลุ่มมีความผูกพันต่อองค์กรแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะในด้านอายุ และระดับการศึกษา

ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารควรส่งเสริมบรรยากาศการทำงานที่เอื้อต่อความสัมพันธ์ในโรงเรียน และปรับปรุงระบบค่าตอบแทนและสวัสดิการให้เหมาะสม เพื่อเสริมสร้างความผูกพันของครูต่อองค์การอย่างยั่งยืน

คำสำคัญ: ความผูกพันต่อองค์การ, ครู, โรงเรียนชุมชน, ลักษณะส่วนบุคคล, การบริหารทรัพยากร  มนุษย์

Abstract

This research aimed to: (1) study the level of organizational commitment among teachers at Wat Khao Mai Kaew Community School, Bang Lamung District, Chonburi Province, and (2) compare the levels of organizational commitment among teachers classified by personal factors including gender, age, marital status, and educational level. The study employed a quantitative research methodology. The sample consisted of 52 teachers selected through purposive sampling. The research instrument was a structured questionnaire that was validated for content and yielded a reliability coefficient of .78. Data were analyzed using descriptive statistics—mean and standard deviation—as well as inferential statistics, including independent samples t-test and one-way ANOVA.

The research findings revealed that the overall level of organizational commitment among teachers was at a high level. The dimension with the highest mean score was “relationships with supervisors and colleagues,” followed by “school stability and reputation” and “work-life balance,” respectively. In contrast, the dimension with the lowest mean score was “compensation and welfare.” Furthermore, the analysis indicated that there were statistically significant differences in organizational commitment based on certain personal factors, especially age and educational level.

The study recommends that school administrators should create a more supportive and collaborative working environment, particularly by strengthening interpersonal relationships among staff and improving compensation and welfare systems. These improvements would enhance teachers’ motivation and long-term commitment to the organization. Emphasizing professional growth and a sense of belonging may also contribute to sustaining a strong and loyal teaching workforce.

Keywords: Organizational Commitment, Teachers, Community School, Personal Factors, Human Resource Management

บทนำ

            ระบบการศึกษาในศตวรรษที่ 21 กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ความคาดหวังของผู้ปกครอง และความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งทำให้บทบาทของสถานศึกษาไม่อาจจำกัดอยู่เพียงแค่การถ่ายทอดองค์ความรู้ แต่จำเป็นต้องพัฒนา ทุนมนุษย์ ที่มีความสามารถรอบด้านเพื่อรองรับบริบทโลกที่ซับซ้อนและท้าทายมากขึ้น ในบริบทเช่นนี้ ครู จึงเป็นหัวใจของกระบวนการพัฒนาการศึกษา เพราะเป็นผู้ที่ส่งผ่านองค์ความรู้ ทักษะ และค่านิยมที่สำคัญสู่ผู้เรียนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องอย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในสถานศึกษากลับประสบปัญหาสำคัญในหลายพื้นที่ เช่น การขาดแคลนครูที่มีคุณภาพ การลาออกกลางคัน การไม่สามารถรักษาบุคลากรไว้ได้ และการเกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout) ซึ่งล้วนมีสาเหตุหลักประการหนึ่งมาจาก “ระดับความผูกพันต่อองค์กร” ที่ลดลง ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อคุณภาพการเรียนการสอนและผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในโรงเรียนจึงควรมุ่งเน้นการพัฒนาให้ครูรู้สึกมีคุณค่า มีโอกาสเติบโต และเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จขององค์การ ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับทฤษฎีของ Fayol (1949) และ Taylor (1911) ที่เน้นการจัดการองค์การอย่างมีประสิทธิภาพผ่านหลักการวางแผน การจัดระเบียบ และการควบคุมงานอย่างเป็นระบบ ประกอบกับการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (London, 2014) เพื่อเพิ่มศักยภาพครูอย่างต่อเนื่องดังนั้น ความผูกพันต่อองค์กรของครูจึงไม่ใช่เรื่องของบุคคลเพียงลำพัง แต่เป็นผลลัพธ์ของการออกแบบระบบการจัดการ ทรัพยากร และภาวะผู้นำในสถานศึกษาอย่างรอบด้าน (Robbins & Judge, 2019) งานวิจัยฉบับนี้จึงมุ่งศึกษาความผูกพันต่อองค์การของครู โดยมีเป้าหมายเพื่อวิเคราะห์ระดับความผูกพัน ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และแนวทางในการส่งเสริมความยั่งยืนของบุคลากรในวิชาชีพครู ซึ่งผลการวิจัยจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารสถานศึกษาในการวางแผนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรอย่างแท้จริง ความผูกพันต่อองค์กร จึงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากในแวดวงพฤติกรรมองค์การ เพราะสะท้อนถึงความรู้สึกเป็นเจ้าของ ความภักดี และความตั้งใจในการทำงานให้กับองค์การโดยไม่หวังเพียงค่าตอบแทนทางวัตถุเท่านั้น หากแต่รวมถึงคุณค่าในเชิงจิตใจและความเชื่อมโยงเชิงความหมายที่บุคลากรรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจและเป้าหมายขององค์กร ความรู้สึกเช่นนี้เองเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญในการสร้างแรงจูงใจภายใน เพิ่มความพยายามในการทำงาน และลดพฤติกรรมเชิงลบ เช่น การขาดงาน การไม่ร่วมมือ หรือการลาออกโดยไม่จำเป็น ในวิชาชีพครู ความผูกพันต่อองค์กรมีความสำคัญยิ่งกว่าในอาชีพอื่น เนื่องจากลักษณะของงานครูมิใช่เพียงการถ่ายทอดความรู้ แต่ยังครอบคลุมถึงการดูแล พัฒนา และส่งเสริมผู้เรียนในทุกมิติ ความผูกพันของครูจึงส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน วิธีการสอน และความต่อเนื่องของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หากครูขาดความผูกพันต่อสถานศึกษา ย่อมเกิดภาวะเฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น ขาดการพัฒนาตนเอง ซึ่งท้ายที่สุดจะบั่นทอนศักยภาพของผู้เรียน และลดทอนคุณภาพของระบบการศึกษาโดยรวมอีกทั้ง ความผูกพันยังเชื่อมโยงกับบริบทการบริหารจัดการภายในโรงเรียนในหลายระดับ เช่น ลักษณะภาวะผู้นำของผู้บริหาร การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของครู ความโปร่งใสในการประเมินผล การให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าในสายอาชีพ ตลอดจนบรรยากาศในการทำงานที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการแบ่งปันความรู้ในหมู่ครูด้วยกัน ซึ่งหากโรงเรียนสามารถออกแบบระบบการบริหารจัดการที่มีคุณภาพ ก็จะช่วยเสริมสร้างความรู้สึกมั่นคงและภาคภูมิใจในอาชีพครู อันจะนำไปสู่การยกระดับความผูกพันอย่างยั่งยืนในทางปฏิบัติ การส่งเสริมความผูกพันของครูจำเป็นต้องอาศัยกลยุทธ์หลายด้านควบคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทางวิชาชีพ การสนับสนุนด้านสวัสดิการ การเปิดโอกาสให้ครูมีส่วนร่วมในนโยบายโรงเรียน การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความร่วมมือ ความเสมอภาค และการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ครูรู้สึกว่า ตนเองมีคุณค่า และ มีที่ยืน ในองค์กร ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดความผูกพันเชิงบวกในระยะยาว

จากประเด็นทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้เห็นได้ชัดว่า การศึกษาเรื่อง ความผูกพันต่อองค์กรของครู มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่เพื่อการเข้าใจกลไกภายในเชิงจิตวิทยาและการบริหารงานบุคคลเท่านั้น แต่ยังมีนัยยะในเชิงนโยบายที่จะสามารถนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น งานวิจัยฉบับนี้จึงมุ่งศึกษาเรื่องความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี รวมถึงการวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อความผูกพันดังกล่าว โดยหวังให้ผลลัพธ์ของงานวิจัยสามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในการออกแบบนโยบาย พัฒนาระบบสนับสนุน และสร้างกลยุทธ์การรักษาครูที่มีคุณภาพไว้กับองค์การอย่างยั่งยืนในอนาคต

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

1 เพื่อศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอ           บางละมุง จังหวัดชลบุรี

2 เพื่อเปรียบเทียบระดับความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จำแนกตามลักษณะส่วนบุคคล

ประโยชน์ที่ได้รับ

            1. สร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับระดับความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการศึกษาและพัฒนาการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในสถานศึกษา

2. ผลการวิจัยจะเป็นแนวทางให้ผู้บริหารสถานศึกษาเข้าใจปัจจัยที่มีผลต่อความผูกพันต่อองค์กรของครู เพื่อสามารถวางแผนและกำหนดนโยบายหรือกลยุทธ์ในการส่งเสริมความผูกพันต่อองค์กรให้เหมาะสมกับลักษณะส่วนบุคคลของครูในโรงเรียน

            3. ข้อมูลที่ได้สามารถนำไปใช้ประกอบการพัฒนาหลักสูตรอบรม หรือกิจกรรมที่ช่วยเพิ่มความผูกพันและสร้างแรงจูงใจในการทำงานของครู ส่งผลให้การทำงานของครูมีประสิทธิภาพและเกิดความยั่งยืนในการปฏิบัติหน้าที่

กรอบแนวคิดสำหรับการวิจัย

ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย

วิธีดำเนินการวิจัย

การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยใช้แบบสอบถาม เก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ในการดำเนินการวิจัยครั้งนี้ สร้างเครื่องมือโดยดำเนินการ ดังนี้ 1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อมูล และรายละเอียดต่าง ๆ ถึง วิธีทำการวิจัยแนวคิดและทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรที่ศึกษา 2 นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาจัดทำแบบสอบถาม 3 นำแบบสอบถามที่จัดทำเสร็จแล้วเสนออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อตรวจสอบและทำการปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาด 4 ตรวจสอบความเที่ยงตรง 5 นำแบบสอบถามที่ปรับปรุงแล้วไปทดสอบใช้ (Try out) กับประชาชนที่ไม่ใช่กลุ่ม ตัวอย่าง จำนวน 30 คน แล้วนำไปวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถาม โดยใช้วิธีหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบัค (Cronbach) ได้ค่าเท่ากับ .89

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

ประชากรในการศึกษาเป็นครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เก็บข้อมูล จำนวน 55 คนแบ่งเป็นชายจำนวน 25 คน หญิงจำนวน 30 คน  กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีคำนวณขนาดตัวอย่างโดยใช้สูตรของเครจซี่และมอร์แกน ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ได้ขนาดตัวอย่างจำนวน 52 คน แบ่งตามสัดส่วนได้ ชาย จำนวน 24คน หญิง 28 คน 

การเก็บรวบรวมข้อมูล

ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้ 1 ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยเลือกการสุ่มกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Non-probability Sampling) (เก็บข้อมูลจากภายในหน่วยงานแบบเจาะจงผู้ตอบ) 2 นำข้อมูลของแบบสอบถาม ไปลงตารางโปรแกรมสำเร็จรูป  สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยครั้งนี้ ได้ใช้สถิติเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ 1 สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าเฉลี่ยด้วย t-test 2 เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 2 กลุ่ม โดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) ในกรณีที่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ใช้ LSD ในการเปรียบเทียบรายคู่

การวิเคราะห์ข้อมูล

ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลตามขั้นตอน และรายละเอียด ดังต่อไปนี้

1 ตรวจสอบความถูกต้องของแบบสอบถามที่ได้รับกลับคืนมา

2 นำแบบสอบถามมาลงตารางตามเกณฑ์ที่กำหนด

3 ข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป โดยวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้

1 ข้อมูลสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 1 ใช้การหาค่าความถี่ และ ค่าร้อยละ

2 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D)

3 เปรียบเทียบระดับความผูกพันต่อองค์กรของครูจำแนกตามเพศโดยการทดสอบค่า (t-test Independent) .

4 เปรียบเทียบระดับความผูกพันต่อองค์กรของครูในแต่ละด้านจำแนกตาม อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ รายได้ต่อเดือน เพื่อทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 2 กลุ่มขึ้นไป โดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA)

ผลการวิจัย

พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่เป็นครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีเป็นเพศชาย จำนวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 46.15 เพศหญิง จำนวน 28 คน คิดเป็นร้อยละ 53.85 ส่วนใหญ่มีอายุอยู่ระหว่าง 41 – 50 ปี จำนวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 34.62 มีอายุอยู่ระหว่าง 30 – 40 ปี จำนวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 14 มีอายุน้อยกว่า 40 ปี จำนวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 23.08 และน้อยที่สุดมีอายุมากกว่า 50 ปี ขึ้นไป จำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 15.38 กลุ่มตัวอย่างสมรสแล้ว จำนวน 38 คน คิดเป็นร้อยละ 38 รองลงมาเป็นโสด จำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 8 และน้อยที่สุดเป็นหม้าย/หย่าร้าง จำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 11.54 กลุ่มตัวอย่างจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 67.31 รองลงมาจบการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรี จำนวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 19.23 และน้อยที่สุดจบการศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรี จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 13.46 ส่วนใหญ่มีรายได้ต่อเดือนน้อยกว่า 20,000 บาท จำนวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 34.62 รองลงมามีรายได้ต่อเดือนอยู่ระหว่าง 20,000 – 25,000 บาท จำนวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 30.77 และน้อยที่สุดมีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 30,000 บาท ขึ้นไป จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 7.69 ผลการวิเคราะห์ความผูกพันต่อองค์กร พบว่าค่าเฉลี่ยความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =3.76, S.D.= 0.32)  เมื่อพิจารณารายด้านกลุ่มตัวอย่างเห็นว่าความสมดุลระหว่างที่ทำงานและชีวิตส่วนตัว เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรมากกว่าด้านอื่น ๆ ( =4.30, S.D.= 0.50) รองลงมาคือสภาพแวดล้อมในการทำงาน ( =4.03, S.D.= 0.61) และน้อยที่สุดคือความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน ( =3.29, S.D.= 0.57)  เมื่อพิจารณารรายด้านพบว่าค่าเฉลี่ยความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีด้านค่าตอบแทบและสวัสดิการ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =3.53, S.D.= 0.67)  เมื่อพิจารณารายประเด็นคำถามกลุ่มตัวอย่างเห็นว่าโรงเรียนของท่านมีการจัดสวัสดิการเพื่อความมั่นคงทางการเงินของครู เช่น การประกันสังคม การประกันชีวิต เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรด้านค่าตอบแทบและสวัสดิการมากกว่าประเด็นคำถามอื่น ( =4.25, S.D.= 4.25) รองลงมาคือครูได้รับเงินเดือนที่เพียงพอจะจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับตนเอง และครอบครัว ( =3.65, S.D.= 0.48) และปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรในด้านนี้น้อยที่สุดคือรายได้ที่ครูได้รับเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนอื่นมีความเหมาะสม ( =2.87, S.D.= 0.86) ค่าเฉลี่ยความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =4.03, S.D.= 0.61)  เมื่อพิจารณารายประเด็นคำถามกลุ่มตัวอย่างเห็นว่าระบบรักษาความปลอดภัยในโรงเรียนมีความเข้มงวดและมีประสิทธิภาพ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรด้านสภาพแวดล้อมในการทำงานมากกว่าประเด็นคำถามอื่น ( =4.35, S.D.= 0.88) รองลงมาคือโรงเรียนของท่านมีข้อกำหนดมาตรฐานสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสมกับครู ( =4.27, S.D.= 0.95) และปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรในด้านนี้น้อยที่สุดคือโรงเรียนของท่านมีวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ในการปฏิบัติงานที่ทันสมัยและครบครัน ( =3.50, S.D.= 0.70) ค่าเฉลี่ยความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ด้านโอกาสในการพัฒนาตนเองและความก้าวหน้าในอนาคต โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =3.42, S.D.= 0.47)  เมื่อพิจารณารายประเด็นคำถามกลุ่มตัวอย่างเห็นว่าท่านได้รับโอกาสในการพัฒนาตนเองจากองค์การ เช่น ส่งไปฝึกอบรมหลักสูตรต่าง ๆ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรด้านโอกาสในการพัฒนาตนเองและความก้าวหน้าในอนาคตมากกว่าประเด็นคำถามอื่น ( =4.04, S.D.= 1.02) รองลงมาคือโรงเรียนของท่านเปิดโอกาสให้ท่านมีความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน ( =3.65, S.D.= 0.94) และปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรในด้านนี้น้อยที่สุดคือโรงเรียนของท่านพิจารณาความดีความชอบอย่างยุติธรรม ( =2.40, S.D.= 0.49) ค่าเฉลี่ยความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีด้านความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.29, S.D.= 0.57)  เมื่อพิจารณารายประเด็นคำถามกลุ่มตัวอย่างเห็นว่าทุกคนในโรงเรียนของท่านมีความสัมพันธ์กันอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาขัดแย้ง เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรด้านความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานมากกว่าประเด็นคำถามอื่น ( =3.65, S.D.= 1.13) รองลงมาคือผู้บังคับบัญชาของท่านรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะของท่าน ( =3.42, S.D.= 0.75) และปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรในด้านนี้น้อยที่สุดคือผู้บังคับบัญชาของท่านมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาผลงานที่แน่นอน ยุติธรรม ( =3.02, S.D.= 1.14) ค่าเฉลี่ยความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีด้านความมั่นคงและความมีชื่อเสียงของโรงเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =3.98, S.D.= 0.48)  เมื่อพิจารณารายประเด็นคำถามกลุ่มตัวอย่างเห็นว่าโรงเรียนของท่านมีความมั่นคง เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรด้านความมั่นคงและความมีชื่อเสียงของโรงเรียนมากกว่าประเด็นคำถามอื่น ( =4.77, S.D.= 0.45) รองลงมาคือท่านมีความเชื่อมั่นว่า ตราบที่ปฏิบัติติงานอย่างเต็มความสามารถและผลงานได้มาตรฐานก็จะสามารถทำงานที่นี่ได้ตลอดไป ( =4.27, S.D.= 0.89) และปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรในด้านนี้น้อยที่สุดคือโรงเรียนของท่านมีภาพพจน์เป็นที่เชื่อถือของบุคคลและสังคม ( =3.38, S.D.= 1.17) ค่าเฉลี่ยความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีด้านความสมดุลระหว่างการที่ทำงานและชีวิตส่วนตัว โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.30, S.D.= 0.50)  เมื่อพิจารณารายประเด็นคำถามกลุ่มตัวอย่างเห็นว่าท่านพอใจกับช่วงเวลาทำงานและช่วงเวลาว่างในแต่ละวัน เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรด้านความสมดุลระหว่างการที่ทำงานและชีวิตส่วนตัวมากกว่าประเด็นคำถามอื่น ( =4.77, S.D.= 0.42) รองลงมาคือท่านคิดว่าท่านบริหารจัดการกับงานที่ทำดีพอที่จะมีเวลาว่างจากงาน ( =4.33, S.D.= 0.81) และปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรในด้านนี้น้อยที่สุดคือท่านคิดว่า ทำงานกับโรงเรียนแล้ว ท่านมีความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว ( =3.85, S.D.= 0.99) เมื่อพิจารณาปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคลเรื่องอายุ พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีอายุอยู่ระหว่าง 30 – 40 ปี กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุอยู่ระหว่าง 41 – 50 ปี และกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ขึ้นไป มีความผูกพันต่อองค์กร โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากกว่าและเท่ากันช่วงอายุ ( =3.80, S.D.= 0.49 , S.D.= 0.253 และ S.D.= 0.10 ตามลำดับ) โดยเฉพาะด้านความสมดุลระหว่างการที่ทำงานและชีวิตส่วนตัว รองลงมาคือกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี ( =3.63, S.D.= 0.26) โดยเฉพาะความสมดุลระหว่างการที่ทำงานและชีวิตส่วนตัว ส่วนด้านสถานภาพสมรสพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่เป็นหม้าย/หย่าร้าง มีความผูกพันต่อองค์กร โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากกว่าช่วงสถานภาพสมรสอื่น ( =3.98, S.D.= 0.30) โดยเฉพาะความสมดุลระหว่างการที่ทำงานและชีวิตส่วนตัว รองลงมาคือกลุ่มตัวอย่างที่สมรสแล้ว ( =3.78, S.D.= 0.301) โดยเฉพาะด้านความสมดุลระหว่างการที่ทำงานและชีวิตส่วนตัว และน้อยที่สุดคือกลุ่มตัวอย่างที่เป็นโสด ( =3.49, S.D.= 0.32) โดยเฉพาะด้านความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน ส่วนด้านระดับการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่จบการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรี มีความผูกพันต่อองค์กร โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากกว่าช่วงระดับการศึกษาอื่น ( =3.78, S.D.= 0.50) โดยเฉพาะความสมดุลระหว่างการที่ทำงานและชีวิตส่วนตัว รองลงมาคือกลุ่มตัวอย่างที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ( =3.77, S.D.= 0.28) โดยเฉพาะด้านความสมดุลระหว่างการที่ทำงานและชีวิตส่วนตัว และน้อยที่สุดคือกลุ่มตัวอย่างที่จบการศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ( =3.68, S.D.= 0.20) โดยเฉพาะด้านโอกาสในการพัฒนาตนเองและความก้าวหน้าในอนาคต ส่วนด้านรายได้ต่อเดือนพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้ต่อเดือนอยู่ระหว่าง 25,001 – 30,000 บาท มีความผูกพันต่อองค์กร โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากกว่าช่วงรายได้ต่อเดือนอื่น ( =4.03, S.D.= 0.20) โดยเฉพาะความสมดุลระหว่างการที่ทำงานและชีวิตส่วนตัว รองลงมาคือกลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้ต่อเดือนอยู่ระหว่าง 20,000 – 25,000 บาท ( =3.89, S.D.= 3.8) โดยเฉพาะด้านความสมดุลระหว่างการที่ทำงานและชีวิตส่วนตัว และสภาพแวดล้อมในการทำงาน น้อยที่สุดคือกลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้ต่อเดือนน้อยกว่า 20,000 บาท ( =3.44, S.D.= 0.24) โดยเฉพาะด้านความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน  ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบความผูกพันต่อองค์กร ผลการเปรียบเทียบความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีเพศต่างกันมีความผูกพันต่อองค์กร ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เฉพาะด้านค่าตอบแทบและสวัสดิการ สภาพแวดล้อมในการทำงาน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน และความสมดุลระหว่างการที่ทำงานและชีวิตส่วนตัวเมื่อพิจารณารายด้านจำแนกตามเพศ สำหรับด้านค่าตอบแทบและสวัสดิการ พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความผูกพันต่อองค์กร ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในประเด็นคำถามเรื่องโรงเรียนของท่านมีเงินเดือนที่เหมาะสมกับปริมาณงาน ลักษณะงาน และความรู้ ความสามารถในการทำงานของท่าน ท่านได้รับเงินเดือนที่เพียงพอจะจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับตนเอง และครอบครัว และโรงเรียนของท่านมีการจัดสวัสดิการเพื่อความมั่นคงทางการเงินของพนักงาน เช่น การประกันชีวิต และสุขภาพ สำหรับด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความผูกพันต่อองค์กร ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในประเด็นคำถามเรื่องโรงเรียนของท่านจัดบริเวณที่ทำงานเพื่อช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน และระบบรักษาความปลอดภัยในโรงเรียนมีความเข้มงวดและมีประสิทธิภาพ สำหรับด้านโอกาสในการพัฒนาตนเองและความก้าวหน้าในอนาคต พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความผูกพันต่อองค์กร ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในประเด็นคำถามเรื่องโรงเรียนของท่านพิจารณาความดีความชอบอย่างยุติธรรม สำหรับด้านความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความผูกพันต่อองค์กร ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในประเด็นคำถามเรื่องเพื่อนร่วมงานของท่านให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีเมื่อเกิดความเดือดร้อนทั้งในเรื่องงานและส่วนตัว และผู้บังคับบัญชาของท่านมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาผลงานที่แน่นอน ยุติธรรม สำหรับด้านความมั่นคงและความมีชื่อเสียงของโรงเรียน พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความผูกพันต่อองค์กร ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในประเด็นคำถามเรื่องโรงเรียนของท่านมีความมั่นคง และสำหรับ ด้านความสมดุลระหว่างสถานที่ทำงานและชีวิตส่วนตัว พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความผูกพันต่อองค์กร ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในประเด็นคำถามเรื่องท่านคิดว่า ทำงานกับโรงเรียนแล้ว ท่านมีความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว ท่านคิดว่าท่านบริหารจัดการกับงานที่ทำดีพอที่จะมีเวลาว่างจากงาน ท่านมีเวลาว่างพอที่จะพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง และท่านพอใจกับช่วงเวลาทำงานและช่วงเวลาว่างในแต่ละวัน การทดสอบสมมติฐานความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จำแนกตามอายุ พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความผูกพันต่อองค์กร ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยเฉพาะด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน และความมั่นคงและความมีชื่อเสียงของโรงเรียน การทดสอบสมมติฐานความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จำแนกตามสถานภาพ พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีต่อความผูกพันต่อองค์กร ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยเฉพาะด้านความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน การทดสอบสมมติฐานความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีจำแนกตามระดับการศึกษา  พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีต่อความผูกพันต่อองค์กร ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยเฉพาะด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน โอกาสในการพัฒนาตนเองและความก้าวหน้าในอนาคต และความมั่นคงและความมีชื่อเสียงของโรงเรียน

 

 

อภิปรายผล

ผลการศึกษาที่พบว่าครูเพศหญิงมีความผูกพันต่อองค์กรสูงกว่าครูเพศชายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างเชิงจิตวิทยาระหว่างเพศในเชิงลึก โดยครูเพศหญิงมักให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ ความมั่นคงทางจิตใจ และสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนต่อการทำงานอย่างชัดเจนมากกว่าเพศชาย ในบริบทของโรงเรียนที่เป็นองค์กรบริการด้านการศึกษา ความรู้สึกเชื่อมโยงในเชิงอารมณ์และการให้คุณค่าต่อบทบาทของตนมักส่งผลต่อพฤติกรรมการทำงานของบุคลากรอย่างลึกซึ้ง

ครูเพศหญิงมักจะให้ความสำคัญกับความเป็นทีม ความไว้วางใจ และการมีปฏิสัมพันธ์ที่อบอุ่น ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านความผูกพันเชิงอารมณ์ (Affective Commitment) ที่ Meyer และ Allen ได้อธิบายไว้ว่าเป็นความรู้สึกทางจิตใจที่ลึกซึ้งและยั่งยืน นอกจากนี้ ครูหญิงยังมักเป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมเชิงบวกต่อองค์กร เช่น การเสียสละเวลาเพื่อทำกิจกรรมพิเศษ การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน หรือการให้คำแนะนำแก่นักเรียนอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงความรู้สึกเป็นเจ้าของและความรักในองค์กรอย่างแท้จริงในบริบทของโรงเรียนซึ่งมีลักษณะงานที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความเข้าใจผู้อื่น และความเห็นอกเห็นใจ การมีความผูกพันในระดับที่สูงจากครูเพศหญิงจึงส่งผลในทางบวกต่อทั้งตัวบุคคลและองค์การโดยรวม การสนับสนุนให้ครูหญิงมีบทบาทในการกำหนดนโยบาย หรือเป็นผู้นำทางวิชาชีพ จะยิ่งเสริมสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและความต่อเนื่องในการผูกพัน

ผลการวิจัยพบว่า ครูกลุ่มอายุ 41 ปีขึ้นไปมีระดับความผูกพันต่อองค์กรสูงกว่ากลุ่มที่อายุน้อยกว่า ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า กลุ่มอายุนี้มีการสะสมประสบการณ์และการลงทุนทั้งทางกายภาพ จิตใจ และเวลาในองค์กรมานานแล้ว โดยเฉพาะในแง่ของการพัฒนานักเรียน ความสัมพันธ์กับผู้บริหาร และการมีส่วนร่วมในวิสัยทัศน์ของโรงเรียน สิ่งเหล่านี้ล้วนสะสมเป็นทุนทางสังคมที่มีค่า ซึ่งตามแนวคิดของ Becker ใน Side-Bet Theory นั้นถือว่าเป็นการลงทุนที่มีต้นทุนแฝง หากต้องเปลี่ยนงานหรือลาออกผู้ที่มีอายุงานมากย่อมมีความเข้าใจโครงสร้างองค์กร ระบบการบริหาร และวัฒนธรรมของสถานศึกษามากกว่ากลุ่มอายุน้อย จึงสามารถปรับตัวและสร้างความมั่นใจในการทำงานได้ดีกว่า การผูกพันจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของอารมณ์เท่านั้น แต่เป็นความสอดคล้องทางคุณค่า (value congruence) กับองค์กรอย่างลึกซึ้งการมีอายุที่มากขึ้นยังทำให้ครูมองเห็นผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนทั้งด้านดีและด้านลบ พวกเขามีมุมมองที่เป็นระบบและรอบด้าน ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจและการยอมรับในบทบาทของตนภายในองค์กร ความมั่นคงและการได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานและผู้บริหารจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ครูกลุ่มนี้เกิดความผูกพันในระดับสูง

การที่ครูที่มีสถานภาพหย่าร้างหรือหม้ายมีความผูกพันสูงกว่ากลุ่มที่สมรสหรือโสดนั้น แสดงให้เห็นถึงบทบาทของโรงเรียนในฐานะ “พื้นที่ทางสังคม” ที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิตและความรู้สึกมั่นคงของบุคลากรอย่างแท้จริง กลุ่มนี้มักใช้โรงเรียนเป็นพื้นที่ของความมั่นคงทางอารมณ์และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ดังนั้นการทำงานในโรงเรียนจึงไม่ใช่เพียงการประกอบอาชีพ แต่เป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตทางสังคมการได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงานและผู้บริหาร รวมถึงบรรยากาศที่เอื้อต่อการมีส่วนร่วม ช่วยให้ครูกลุ่มนี้รู้สึกถึงคุณค่าในตนเองและบทบาทที่มีต่อองค์กร ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Rousseau ว่าเมื่อความคาดหวังเชิงจิตวิทยาระหว่างพนักงานและองค์กรตรงกัน ก็จะเกิดความผูกพันอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ กลุ่มที่หย่าร้างหรือหม้ายอาจไม่มีภาระครอบครัวในแบบเดิม จึงสามารถทุ่มเทเวลาและพลังงานให้กับโรงเรียนได้มากขึ้น ส่งผลให้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม พัฒนานักเรียน และรับผิดชอบในงานพิเศษมากกว่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำความผูกพันและความรู้สึกเป็นเจ้าของโรงเรียนอย่างแน่นแฟ้นครูที่มีระดับการศึกษาสูง เช่น ปริญญาโทขึ้นไป มักมีความผูกพันต่อองค์กรสูงกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งอาจมาจากความคาดหวังเชิงคุณค่าและอุดมการณ์ที่สอดคล้องกับวิชาชีพครู กลุ่มนี้มักมองโรงเรียนไม่เพียงเป็นที่ทำงาน แต่เป็นพื้นที่แห่งการสร้างความหมายในชีวิต พวกเขามีเป้าหมายระยะยาว มีความเชื่อในพันธกิจของการศึกษา และมุ่งหวังการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งตนเองและผู้เรียน

แนวคิดของ Meyer และ Allen ในมิติ Normative Commitment มีความสอดคล้องกับลักษณะของกลุ่มนี้อย่างยิ่ง กล่าวคือ ความรู้สึกว่า “ต้องอยู่” กับองค์กรนั้นเกิดจากค่านิยม ความรับผิดชอบ และจรรยาบรรณในวิชาชีพ มากกว่าผลประโยชน์ภายนอกนอกจากนี้ ผู้ที่มีการศึกษาสูงมักคาดหวังระบบบริหารจัดการที่โปร่งใส ระบบความก้าวหน้าทางวิชาชีพที่เป็นธรรม และโอกาสในการแสดงศักยภาพทางวิชาการ หากโรงเรียนสามารถสนองตอบต่อสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม จะยิ่งส่งเสริมความรู้สึกผูกพันของครูกลุ่มนี้ในระดับลึก และมีแนวโน้มที่จะส่งต่อความผูกพันนั้นไปสู่รุ่นน้องหรือบุคลากรอื่นด้วย

ข้อเสนอแนะ 

1 ค่าตอบแทบและสวัสดิการ ผู้บริหารของโรงเรียน ต้องมีการพิจารณาความเหมาะสมของรายได้ที่ครูได้รับเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนอื่นให้มีความเหมาะสมเนื่องจากรายได้จะเป็นตัวชี้วัดความเป็นอยู่ของครู ถ้าหากครูมีรายได้น้อยก็จะลาออกเพื่อไปหางานทำใหม่

2 สภาพแวดล้อมในการทำงาน ผู้บริหารของโรงเรียนต้องจัดให้มีวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ในการปฏิบัติงานที่ทันสมัยและครบครันเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายตามที่ได้วางไว้

3 อกาสในการพัฒนาตนเองและความก้าวหน้าในอนาคต ผู้บริหารของโรงเรียนต้องมีนโยบายที่ชัดเจน มีการพิจารณาความดีความชอบอย่างยุติธรรมเพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการทำงานให้กับครู

4 ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน ผู้บริหารของโรงเรียนต้องมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาผลงานที่แน่นอน ยุติธรรม เนื่องจากความยุติธรรมจะช่วยให้สมาชิกขององค์กรยอมรับหลักเกณฑ์ในการประเมินผลงาน

5ความมั่นคงและความมีชื่อเสียงของโรงเรียน ผู้บริหารของโรงเรียน ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้โรงเรียนมีภาพพจน์เป็นที่เชื่อถือของบุคคลและสังคม

6 ความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว ผู้บริหารของโรงเรียน ต้องส่งเสริมสนับสนุนให้ครูมีความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว

ข้อเสนอแนะในงานวิจัยครั้งต่อไป

1 ในการศึกษาเรื่องความผูกพันต่อองค์กรของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีควรมีการศึกษาเปรียบเทียบกับโรงเรียนแห่งอื่น ๆ เพื่อนำมาเปรียบเทียบและหาข้อสรุปแก้ปัญหาร่วมกัน

2 ควรมีการศึกษาเรื่องปัญหาและอุปสรรคในการทำงานของครู เพื่อนำผลการศึกษาที่ได้รับมาปรับปรุงการทำงานของโรงเรียน

3 ควรมีการศึกษาเรื่องความต้องการพัฒนาตนเองของครูโรงเรียนชุมชนวัดเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

เอกสารอ้างอิง

จิราภรณ์ แก้วขุนทด. (2563). ปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรในรัฐวิสาหกิจ.

วารสารการบริหารและพัฒนา, 3(1), 45–56.

ปาริชาติ รัตนเสถียร. (2561). ความมั่นคงในงานกับแรงจูงใจของพนักงานในหน่วยงานรัฐ. วารสาร

การบริหารงานบุคคล, 6(1), 25–38.

วรัญญา วรรณเลิศ. (2561). ความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานในบริษัทเอกชน. วารสารการ

จัดการและพัฒนา, 9(2), 102–113.

Fayol, H. (1949). General and industrial management (C. Storrs, Trans.). Pitman

Publishing. (Original work published 1916)

London, M. (2014). The power of learning: A guide to gaining the most from your

human potential. Routledge.

Meyer, J. P., & Allen, N. J. (1997). Commitment in the workplace: Theory, research,

and application. Sage Publications.

Robbins, S. P., & Judge, T. A. (2019). Organizational behavior (18th ed.). Pearson.

ข่าวสาร

ข่าวสาร

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 ผศ.ดร.ธนชาติ ประทุมสวัสดิ์ ประธานและผู้อำนวยการหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาเกริก #สาขาวิชาการจัดการองค์การยุคใหม่และ#สาขาวิชาการบริหารการค้าและการเมืองอย่างยั่งยืนในโลกยุคใหม่ นำคณะอาจารย์และนักศึกษาปริญญาเอก ไป #ศึกษาดูงานและนำเสนอผลงานทาวิชาการ ณ #มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย

สมัครเรียนปริญญาโท สมัครเรียนปริญญาเอก มหาวิทยาลัยเกริก
สมัครเรียนปริญญาโท สมัครเรียนปริญญาเอก สาขาการจัดการองค์การยุคใหม่ M.O.M สาขาการบริหารการค้าและการเมือง อย่างยั่งยืนในโลกยุคใหม่ TPS หลักสูตรได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(สปอว.) เป็นไปตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา (Thai Qualification Framework: TQF)